-
(http://upic.me/i/g0/l9yj1.jpg) (http://upic.me/show/45996065)
วัดสมณโกฏฐาราม
ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556
-
(http://upic.me/i/fd/yywh2.jpg) (http://upic.me/show/45996067)
วัดสมณโกฏฐาราม ปัจจุบันเป็นวัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิยกาย ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองทางทิศตะวันออก ในเขตตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วัดสมณโกฏฐารามนี้ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่จากหลักฐานประเภทเอกสารและโบราณวัตถุโบราณสถานที่ยังคงเหลืออยู่ พอจะประเมินได้ว่าวัดสมณโกฏฐารามมีมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์หลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา
จากหลักฐานประเภทเอกสารที่กล่าวถึงสมณโกฏฐารามทำให้พอจะประมวลเป็นประวัติความเป็นมาของวัดได้ ดังนี้
พงศาวดารเหนือ ระบุว่าวัดสมณโกฏฐารามสร้างก่อนการตั้งอยุธยา ดังปรากกฏในเรื่อง “พระบรมราชา” ซึ่ง นายมานิต วัลลิโภดม สอบเทียบศักราชว่าครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๕๓ - ๑๘๘๗ เป็นพระบิดาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ อู่ทอง พระบรมราชาในพงศาวดารเหนือพระองค์นี้ได้เสด็จออกทรงผนวชเมื่อวันพุธ เดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีฉลู ฉศก ณ วัดสมโณโกฏิ โดย “พระสังฆราชาเป็นอุปัชฌาย์ มหาเทพโมฬีเป็นกรรมวาจา มหาธรรมไตรโลกวัดสุทธา เป็นอนุสาวนะ ชุมนุมพระสงฆเจ้า ๑๐๐ พระองค์ นั่งหัตถบาศอุปสมบทเจ้าบรมราชาเป็นภิกษุแลพระสงฆเจ้าทั้งหลายก็ออกบวชใหม่ โดยประมาณมากกว่า ๑๐๐ สมเด็จพระบรมราชาค่อยเจริญเมตตาภาวนา ณ วัดสมโณโกฏิ แลพระมหาเทพโมฬีถวายอารามวัดสมโณโกฏิแก่พระองค์เจ้าแล้ว ก็ลาขึ้นมาอยู่ในอาราม วัดป่าหลวงนอกเเมืองชลอน ตราบเท่าสิ้นชนมายุพระองค์ในอารามที่นั้นแล
-
(http://upic.me/i/13/iyu53.jpg) (http://upic.me/show/45996069)
อย่างไรก็ตาม พงศาวดารเหนือเป็นเอกสารที่นักประวัติศาสตร์ประเมินว่ามีความคลาดเคลื่อนมาก ดังนั้น “พระบรมราชา” พระองค์นี้อาจเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เจ้าสามพระยา กษัตริย์พระองค์ที่ ๗ ของกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๖๗ – ๑๙๙๑) ก็ได้ เพราะพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาระบุว่า พระองค์ทรงสร้างวัดมเหยงคณ์ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๗ ซึ่งวัดมเหยงคณ์เป็นวัดใหญ่อยู่ใกล้กับวัดสมณโกฏฐารามและยังมีสถูปเจดีย์บางองค์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันด้วย
เหตุการณ์ที่ “พระบรมราชา” ทรงผนวชที่วัดนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ขณะนั้นวัดสมณโกฏฐารามจะต้องเป็นพระอารามหลวงขนาดใหญ่ และวัดสมณโกฏฐารามก็คงจะคงความเป็นพระอารามหลวงสำคัญสืบมาตลอดยุคสมัยของกรุงศรีอยุธยา ดังหลักฐานที่กล่าวถึงวัดนี้ในชั้นหลังต่อๆ มา คือ
จดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ ซึ่งหมอแกมป์เฟอร์ ได้พรรณนาถึงของประหลาดควรรู้อย่างยิ่ง ๒ ประการ คือ พระเจดีย์ภูเขาทอง และวัดพระยาพระคลัง วัดพระยาพระคลัง ที่หมอ
แกมป์เฟอร์ว่าอยู่ทางตะวันออกจากเกาะเมืองนั้น ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างบนพื้นที่สี่เหลี่ยมคู่หนึ่ง มีคลองกั้นกลาง พื้นที่ส่วนซ้ายมือมีสิ่งก่อสร้างตรงกับโบสถ์ เจดีย์ เนินปรางค์ และวิหารที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน แต่พื้นที่ส่วนขวามือซึ่งหมอแกมป์เฟอร์ให้ความสำคัญ พรรณนาไว้ค่อนข้างละเอียดนั้น ปัจจุบันไม่มีสิ่ง
ก่อสร้างใดๆ หลงเหลืออยู่ในบริเวณนี้เลย ดังนั้นวัดพระยาพระคลังที่หมอแกมป์เฟอร์ระบุไว้ในแผนที่อาจหมายถึงวัดสมณโกฏฐารามก็เป็นได้
หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ เมื่อกล่าวถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครั้งทรงพระเยาว์ได้อ้างตามจดหมายเหตุของพระอาจารย์ทองดีวัดโกษาวาส ว่า เมื่อนายสินเจริญวัยได้ ๙ ขวบ เจ้าพระยาจักรีได้นำไปฝากไว้ในสำนักพระอาจารย์ทองดีมหาเถระ ณ วัดโกษาวาส นัยหนึ่งว่าวัดคลัง เขียนหนังสือขอมไทยและคัมภีร์พระไตรปิกฎ และเมื่ออายุ ๒๑ ปี เจ้าพระยาจักรีก็ประกอบการอุปสมบทนายสินเป็นพระภิกษุ อยู่ในสำนักอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส ได้ ๓ พรรษา ก็ลาสิกขาบทออกมารับราชการดังเดิม
-
(http://upic.me/i/nv/0nvb5.jpg) (http://upic.me/show/45996071)
ชื่อวัดและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องจากจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์และหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษรวมทั้งลักษณะภูมิสถาปัตยกรรมที่คงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เป็นหลักฐานยืนยันประวัติความเป็นมาของวัดสณโกฏฐารามที่เล่าสืบต่อกันมาว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) และเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) สองเจ้าพระยาพระคลัง ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้หลังจากกลับจากตีเมืองเชียงใหม่ แต่ประวัติบอกเล่าที่ว่าเนินปรางค์หลังวิหารเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าแม่วัดดุสิต มารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) และเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นคงไม่ถูกต้อง เพราะจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์พรรณนาถึงงานศพมารดา ของพระยาพระคลังผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีของประเทศสยามและเป็นผู้ว่าการต่างประเทศว่า ที่ปลงศพอยู่ตรงหว่างสาขาแม่น้ำตรงข้ามกับตัวเมือง ลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้หาใช่ที่ตั้งของวัดสมณโกฏฐารามไม่ น่าจะเป็นวัดดุสิดารามมากกว่า และจากภาพวาดของหมอแกมป์เฟอร์ ขณะนั้นก็มีองค์ปรางค์อยู่แล้ว หากเนินปรางค์นี้จะเป็นสิ่งอนุสรณ์ถึงเจ้าแม่วัดดุสิต ก็อาจจะเป็นเพราะได้มีผู้บูรณปฏิสังขรณ์องค์ปรางค์ พร้อมทั้งสร้างเจดีย์รายทั้ง ๔ มุม อุทิศเป็นอนุสรณ์แด่เจ้าแม่วัดดุสิตภายหลังงานพระราชทานเพลิงแล้ว และสมัยศิลปะของปรางค์และเจดีย์รายก็เป็นยุคอยุธยาตอนปลาย ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป
-
(http://upic.me/i/sw/t9h96.jpg) (http://upic.me/show/45996073)
คำให้การขุนหลวงหาวัด เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันฐานะความเป็นพระอารามหลวงของวัดสมณโกฏฐาราม ดังปรากฏชื่อวัดนี้ในคำให้การตอนทำเนียบวัด (พระอารามหลวง) ในกรุงศรีอยุธยา มีชื่อ วัดจโมรกุฏ อยู่ในอันดับที่ ๑๗ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพประทานคำอธิบายไว้ในวงเล็บท้ายชื่อว่า วัดสมณะโกฎิ
หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว วัดสมณโกฏฐารามมีสภาพเป็นวัดร้าง จน พ.ศ. ๒๕๐๒ พระอาจารย์เจริญได้รับนิมนต์มาเป็นผู้ดำเนินการปฏิสังขรณ์วัด ในชั้นแรกได้ใช้โบสถ์ซึ่งอยู่ในสภาพรกร้างเป็นที่พำนักก่อน ประชาชนย่านใกล้เคียงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นอีกครั้ง จนวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๐ ทางราชการได้ประกาศยกสภาพวัดจากวัดร้างเป็นวัดมีพระสงฆ์ เปลี่ยนชื่อวัดจาก วัดสมณโกษ เป็น วัดสมณโกฏฐาราม มีเขตวิสุงคามสีมากว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร
-
(http://upic.me/i/no/0ttf7.jpg) (http://upic.me/show/45996074)
สิ่งสำคัญภายในวัด
จากการสำรวจทางโบราณคดีสภาพทั่วไปและลักษณะผังของวัดสมณโกฏฐารามพบว่า ลักษณะแผนผังของวัดตั้งในแนวแกนตะวันออก – ตะวันตก โดยมีเจดีย์ทางปรางค์เป็นประธานของวัด ล้อมรอบด้วยระเบียงคด ภายในระเบียงคดมีเจดีย์รายที่มุมทั้งสี่ของปรางค์ มีวิหารตั้งอยู่ด้านหน้าทางทิศตะวันออก มีพระประธานขนาดใหญ่ประดิษฐานภายในวิหาร ที่ท้ายวิหารเชื่อมต่อกับระเบียงคด อุโบสถตั้งอยู่ด้านหลังปรางค์ประธานทางด้านทิศตะวันตก โดยอุโบสถหันหน้าไปทางทิศตะว้นตก ส่วนเจดีย์ทรงระฆังตั้งอยู่ระหว่างปรางค์ประธานและอุโบสถ ลักษณะแผนผังของวัดในสมัยแรกคงจะถูกล้อมรอบด้วยคลองในชั้นนอก และมีกำแพงวัดเป็นสิ่งกำหนดขอบเขตของโบราณสถานชั้นใน มีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญภายในวัด ดังนี้
วิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของปรางค์ประธาน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีความกว้าง ๑๔ เมตร ส่วนความยาวจบชิดขอบถนนทางทิศตะวันออก ประมาณ ๓๘ เมตร แต่ขอบเขตความยาวของวิหารยังไม่แน่ชัด เนื่องจากติดถนนที่ตัดผ่านหน้าวัด วิหารนี้เป็นอาคารขนาด ๙ ห้องเสา ฐานวิหารเป็นชุดฐานปัทม์ ผนังและพะไลของวิหารมีความกว้างอย่างละ ๑.๕๐ เมตร รวม ๓ เมตร ผลจากการขุดแต่งไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับแนวเสารับหลังคาบนพะไล แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมีเสารับหลังคาบนพะไล เนื่องจากในหนังสือจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาระบุไว้ประกอบกับตัววิหารเป็นอาคารขนาดใหญ่ และมีความสูงเมื่อเทียบสัดส่วนทางสถาปัตยกรรมจึงน่าจะมีเสารองรับชายคา บนพื้นวิหารพบแนวเสากลมสองแถว เส้นผ้าศูนย์กลาง ๑ เมตร ระยะห่างระหว่างเสา ๒.๕๐ เมตร แนวเสาที่พบส่วนใหญ่มีสภาพพังทลายจนเกือบหมด มีความสูงเฉลี่ยประมาณ ๑ เมตร พื้นภายในวิหารเป็นพื้นปูอิฐขนาดใหญ่ รองรับพื้นปูกระเบื้องดินเผาสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่ฐานชุกชีประดิษฐานพระประธานขนาดใหญ่ เป็นพระพุทธรูปหินทรายขาวปางมารวิชัย พระเศียรรัศมีเป็นเปลว ชายสังฆาฏิเป็นเขี้ยวตะขาบหยักหลายชั้นยาวจรดพระนาภี นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน พระพุทธรูปประธานนี้ทางวัดได้ทาสีขาวทับเมื่อปฏิสังขรณ์ และยกสภาพจากวัดร้างเป็นวัดมีพระสงฆ์จำพรรษา หลวงพ่ออั้น เจ้าคณะตำบล ซึ่งเป็นผู้นำในการปฏิสังขรณ์ในขณะนั้นตั้งชื่อว่า พระพิชิตมารโมฬี และมีชื่อเรียกทั่วไปว่า หลวงพ่อขาว ที่ด้านข้างของฐานชุกชีทั้งสองด้านประดิษฐานพระอัครสาวก ถัดจากพระอัครสาวกไปทางด้านขวาของพระประธานเป็นศาลเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ส่วนทางด้านซ้ายของพระประธานเป็นศาลเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
-
(http://upic.me/i/sc/neby8.jpg) (http://upic.me/show/45996076)
อุโบสถ อุโบสถวัดสมณโกฏฐารามตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของปรางค์ประธาน ตัวอุโบสถมีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูน ฐานเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่ตั้งบนฐานหน้ากระดานสูง ๙ เมตร ในชั้นแรกถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานบัวลูกแก้วอกไก่ที่รองรับส่วนของผนังทึบ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีรูปทรงแอ่นโค้งในลักษณะคล้ายเรือสำเภาทั้งทั้งด้านกว้างและด้านยาวของตัวอาคาร โดยสังเกตเห็นได้ชัดตั้งแต่ส่วนฐานขึ้นไปจนถึงส่วนยอด อุโบสถนี้เป็นอาคารที่มีมุขลด โดยมุขทางด้านตะวันออก – ตะวันตก สูงกว่าผนังด้านเหนือ – ใต้ บัวหัวเสาทำเป็นบัวแวงเหมือนกับวิหารของวัดกุฎีดาว
แผนผังของอุโบสถเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๑๔ เมตร ยาว ๒๖ เมตร เป็นอาคารขนาด ๗ ห้องเสา ทำเป็นอาคารที่สร้างมุขยื่นทางด้านหน้าและหลัง แต่ที่มุขทั้งสองสร้างเป็นผนังทึบแทนที่จะเป็นมุขโปร่ง มุขทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก กว้าง ๔ เมตร ยาว ๑๐ เมตร ส่วนของเสาอิงผนังที่เหลือ สูงสุด ๑๕, ๑๑ และ ๙ เมตร ตามลำดับ เท่ากัน ที่ผนังด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นด้านหน้าปรากฏซุ้มหน้าต่างซึ่งมีแห่งเดียวเท่านั้น ลักษณะของหน้าต่างก่อเป็นซุ้ม ทรงบันแถลง กรอบหน้าบันมีชั้นเดียว ภายในซุ้มหน้าบันมีร่องรอยของการฉาบปูนซึ่งน่าจะมีการลงรักปิดทอง สำหรับที่ปนังทางทิศเหนือ- ใต้นั้น ส่วนของเสาอิงผนังที่เหลือสูงสุด เฉลี่ยประมาณ ๑๒ เมตร ปรากฏซุ้มประตูทางเข้าด้านละ ๒ แห่ง กว้างประมาณ ๑.๕๐ เมตร เท่ากัน เหนือผนังขึ้นไปเป็นหลังคาซึ่งสร้างครอบในสมัยปัจจุบัน
-
(http://upic.me/i/4x/w87c9.jpg) (http://upic.me/show/45996078)
สภาพภายในของอุโบสถซึ่งปัจจุบันยังคงใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่นั้น มีการเทปูนคอนกรีตทับพื้น, ฐานชุกชี และเสาเดิม สำหรับเสาภายในไม่ปรากฏให้เห็นเนื่องจากได้มีการสร้างทับตรงตำแหน่งเดิม แต่จากรูปแบบของอาคารที่มีขนาดกว้าง และยาวอย่างมากจึงน่าจะมีเสารองรับเครื่องบนหลังคาที่ทำด้วยไม้ซึ่งพังทลายลงหมดแล้ว และจากรูปแบบบัวหัวเสาที่เป็นบัวแวงและรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายกับวิหารของวัดกุฎีดาวดังกล่าว เสาภายในของอุโบสถหลังนี้น่าจะเป็นเสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ส่วนที่ฐานชุกชีนั้นไม่สามารถทำการขุดแต่งตรวจสอบได้ เนื่องจากยังคงมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ประกอบกับมีพระประธานขนาดใหญ่และพระพุทธรูปตั้งเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก
บริเวณด้านนอกรอบอุโบสถมีใบเสมาตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยม ใบเสมามีทั้งหมด ๘ หลัก ด้านหน้า ๑ หลัก ด้านหลัง ๑หลัก และด้านข้างด้านละ ๓ หลัก จัดเป็นเสมาขนาดกลางแบบเสมานั่งแท่น โดยมีรูปแบบแตกต่างกันถึง ๓ แบบ คือ
-
(http://upic.me/i/4x/w87c9.jpg) (http://upic.me/show/45996078)
แบบที่ ๑ เสมาหินทรายแดง เป็นแบบที่มีอยู่มากที่สุด ลักษณะเป็นใบเสมาแบบเก่าที่ฐานสลักลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ๒ ช่อง กึ่งกลางช่องสลักลวดลายพรรณพฤกษาในกรอบรูปทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ตรงเอวใบเสมาไม่มีตัวเหงา กึ่งกลางใบเสมาสลักลายในกรอบทรงสามเหลี่ยม และตกแต่งลายลูกน้ำเป็นเส้นขอบรอบตัวเสมากับลายสามเหลี่ยมกลางเสมา ส่วนบนยอดสุดของใบเสมาสลักลายพรรณพฤกษา กึ่งกลางเป็นลายดอกบัวในรูปวงกลม ซึ่งนายสันติ เล็กสุขุม สรุปไว้ในเรื่อง ลวดลายปูนปั้นแบบอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. ๒๑๗๒ - ๒๓๑๐) ว่า “ลายดอกบัวมีต้นแบบจากศิลปะจีนมาแพร่หลายอยู่ในศิลปะไทย ตั้งแต่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เช่นที่ประดับปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ ลพบุรี และที่ปรากฏอยู่ในงานประดับของศิลปะทางภาคเหนือ รวมทั้งที่ทางสุโขทัยด้วย”
แบบที่ ๒ เสมาหินทรายขาว มีลักษณะเอวเสมาคอดเล็ก มีตัวเหงา ๒ ข้าง มีแถบเส้นกลางสลักลวดลายที่บริเวณเชิงใบเสมา ที่ทับทรวง และส่วนยอดของใบเสมา ลักษณะโค้งแหลมกว่าแบบแรก
แบบที่ ๓ เสมาหินชนวน เสมาหินชนวนอยู่ในสภาพชำรุด มีการสลักเป็นลายเส้นลวดตามขอบ แถบเส้นกลาง ส่วนยอดเหลือเพียงฐานของเม็ดทรงมัณฑ์
เจดีย์ทรงระฆัง ตั้งอยู่ระหว่างปรางค์ประธานและอุโบสถ ภายหลังการขุดแต่งพบว่าเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ฐานกลม ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมสามชั้นลดหลั่นกันขึ้นไป ถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานบัว
-
(http://upic.me/i/uz/vu310.jpg) (http://upic.me/show/45996079)
ถลา ซึ่งมีการพังทลายอย่างมาก ถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานรองรับองค์ระฆังเตี้ย ลักษณะขององค์ระฆังเป็นองค์รูปแบบที่เป็นแบบอยุธยาตอนต้น เหนือองค์ระฆังเป็นบัลลังก์สี่เหลี่ยมมีลวดลายปูนปั้นระดับผนังบัลลังก์ทั้งสี่ด้าน ซึ่งเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้นโดยได้รับอิทธิพลลวดลายประดับแบบสุโขทัย ถัดขึ้นไปเป็นก้านฉัตรและเสาหาน เหนือขึ้นไปเป็นปล่องไฉน
จากการขุดตรวจสอบที่ฐาน พบว่ามีการสร้างทับบนฐานเดิม ขนาดกว้างยาวที่ฐานเท่าเดิม เพียงแต่เป็นการยกระดับที่พื้นฐานให้สูงกว่าเดิม ประมาณ ๕๐ เซนติเมตร เป็นการก่อขยายตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเดิมของเจดีย์ เพื่อขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย แต่จาการเปรียบเทียบรูปแบบเจดีย์ที่มีการพอกทับสองครั้งดังกล่าว ยังคงเป็นรูปแบบของเจดีย์ทรงระฆังในสมัยอยุธยาตอนต้นอยู่
โดยสรุป เจดีย์องค์นี้ในสมัยแรกก่อนที่จะมีการปรับพื้นยกระดับขึ้นจากเดิมนั้น สัดส่วนของฐานและองค์ระฆังกับส่วนยอดยังได้สัดส่วนที่เหมาะสมทางสถาปัตยกรรมอยู่ แต่เมื่อมีการปรับยกพื้นบริเวณวัดในสมัยหลังขึ้นมาอีก ประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ในลักษณะเป็นการก่อพอกตามสัดส่วนของรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยเดิม ไม่ได้ก่อขึ้นใหม่ตามส่วนของฐานที่ยกพื้นสูงขึ้น จึงทำให้รูปแบบของเจดีย์องค์นี้ เป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนฐานเตี้ยไม่ได้สัดส่วนสวยงามนัก
-
(http://upic.me/i/om/7uf11.jpg) (http://upic.me/show/45996082)
ปรางค์ประธาน จากผลการขุดแต่งพบเฉพาะส่วนฐานสี่เหลี่ยมผืนผ้าย่อเก็จ ซึ่งมุมกลางมีขนาดใหญ่ขนาดของฐานในแนวเหนือ – ใต้ กว้าง ๑๗.๕๐ เมตร ส่วนแนวตะวันออก – ตะวันตก กว้าง ๒๐ เมตร มีมุขยื่นออกมาทางด้านทิศตะวันออก มีบันไดทางขึ้น ๒ ข้างที่ทางด้านมุขทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว มีความสูงจากระดับพื้น ถึงส่วนที่เหลืออยู่ประมาณ ๑๑ เมตร ฐานเขียงชั้นแรก สูง ๑ เมตร ถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานบัวลูกแก้วรองรับส่วนฐานของชั้นที่ ๒ โดยมีพื้นปูกระเบื้องดินเผาสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด ๓๒ x ๓๒ เซนติเมตร ปูอยู่บนลานทักษิณชั้นแรก ตั้งแต่ส่วนฐานชั้นที่ ๒ ขึ้นไปมีการพังทลายลงจนหมดคงเหลือแต่ส่วนแกนในของฐานปรางค์เท่านั้น
ฐานปรางค์ด้านทิศเหนือปรากฏการพังทลายมากกว่าด้านอื่น เนื่องจากการลักลอบขุดเจาะหาโบราณวัตถุในสมัยปัจจุบัน ปรากฏให้เห็นฐานของเจดีย์องค์เดิมที่ถูกปรางค์สร้างครอบทับ
ปรางค์ประธานมีระเบียงคดล้อมรอบ และต่อเชื่อมกับท้ายวิหารทางด้านทิศตะวันออกทางด้านทิศตะวันตกของระเบียงคดพบแนวเสากลมฉาบปูนเป็นแปดเหลี่ยม ปรากฏบันไดทางขึ้นทั้งสองข้างด้านทิศตะวันออกของระเบียงคด ส่วนอีกสามด้านพบร่องรอยของบันได ด้านละ ๕ แห่ง ระเบียงคดมีความกว้างทางทิศตะวันออก ๕ เมตร ส่วนอีกสามด้านมีขนาดความกว้าง ๖.๕๐ เมตร ระเบียงคดล้อมรอบปรางค์มีขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด ๔๕ x ๔๕ เมตร ที่จุดกึ่งกลางของระเบียงคดด้านในพบฐานของซุ้มประตูทางเข้าเป็นเพียงฐานของชุดบัวคว่ำอยู่ติดกับพื้น มีแนวร่องน้ำเป็นขอบเขตภายในของระเบียงคดร่องน้ำเแนวร่องรูปสามเหลี่ยมวางอิฐในแนวตั้ง ใช้อิฐวางในแนวนอนปิดทับหน้าแล้วฉาบปูนทับอีกชั้นหนึ่ง แนวร่องน้ำจะล้อมรอบซุ้มประตูทางเข้าภายในทั้งสามด้วย
-
(http://upic.me/i/ot/dkw12.jpg) (http://upic.me/show/45996083)
จากการขุดตรวจที่ฐานปรางค์ประธาน พบเพียงฐานชั้นแรกของโบราณสถานองค์เดิมเท่านั้น นอกนั้นพังทลายลงจะเกือบหมด เป็นเทคนิคการก่ออิฐสอดิน (ขนาดของอิฐ ๕ x ๑๕ x ๓๐ เซนติเมตร) ฐานชั้นแรกมีความสูงประมาณ ๒.๕๐ เมตร ส่วนฐานชั้นถัดไปไม่ปรากฏร่องรอยแน่ชัด สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นส่วนฐานของเจดีย์สมัยแรกนี้ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณเหนือฐานไพฑีที่ต่อเชื่อมกับเจดีย์มุม ซึ่งเป็นเจดีย์ที่มีฐานย่อมุมไม้สิบสอง โดยน่าจะมีบันไดทางขึ้นสู่ฐานประทักษิณที่จุดกึ่งกลาง ฐานทั้ง ๔ ทิศ สูงประมาณ ๕๐ เซนติเมตร จากพื้นระดับแรกสุด ฐานย่อเก็จถูกรองรับด้วยฐานประทักษิณซึ่งเชื่อมกับจุดกึ่งกลางของเจดีย์มุมทั้ง ๔ องค์ เจดีย์มุมทั้ง ๔ องค์ที่ฐานของปรางค์ประธาน มีดังนี้
- เจดีย์มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเจดีย์ประจำมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปรางค์ประธาน ฐานที่เหลืออยู่มีความสูงประมาณ ๒ เมตร สภาพส่วนบนพังทลาย คงเหลือหลักฐานเฉพาะส่วนฐาน เป็นฐานของเจดีย์ทรงกลมที่ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาด ๕.๕๐ x ๕.๕๐ เมตร ฐานชั้นแรกมีความสูงจากพื้นดินหลังการขุดแต่งประมาณ ๑ เมตร ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียงสี่เหลี่ยมลดหลั่นอีกสองชั้นรองรับชุดฐานเขียงกลมสามชั้น ถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานปัทม์รองรับบัวถลาและมาลัยเถา ส่วนบนถัดจากนี้พังทลายลงจนหมด เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเจดีย์มุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีสภาพสมบูรณ์กว่าเจดีย์มุมองค์อื่นและวิเคราะห์จากสัดส่วนทางสถาปัตยกรรมที่เหลืออยู่สันนิษฐานว่าองค์ระฆังน่าจะเป็นทรงกรวย
-
(http://upic.me/i/gg/i5m13.jpg) (http://upic.me/show/45996086)
- เจดีย์มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเจดีย์ประจำมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ
ปรางค์ประธานฐานที่เหลืออยู่มีความสูงประมาณ ๒.๕๐ เมตร สภาพส่วนบนพังทลาย คงเหลือหลักฐานเฉพาะส่วนฐานเป็นฐานของเจดีย์ทรงกลม ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาด ๕.๕๐ x ๕.๕๐ เมตร ฐานชั้นแรกมีความสูงจากพื้นดินหลังการขุดแต่งประมาณ ๑ เมตร ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียงสี่เหลี่ยมลดหลั่น อีกสองชั้น รองรับชุดฐานเขียงกลมสามชั้น ถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานปัทม์รองรับบัวถลาและมาลัยเถา ส่วนบนถัดจากนี้พังทลายลงจนหมด เมื่อเปรียบเทียบกับเจดีย์มุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีสภาพสมบูรณ์กว่าและวิเคราะห์จากสัดส่วนของสถาปัตยกรรมที่ยังเหลืออยู่ สันนิษฐานว่าองค์ระฆังคงจะเป็นทรงกรวยเช่นเดียวกับเจดีย์มุมประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
- เจดีย์มุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเจดีย์ประจำมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเจดีย์ประธาน ฐานที่เหลืออยู่มีความสูงประมาณ ๓.๕๐ เมตร เป็นเจดีย์ที่มีสภาพสมบูรณ์กว่าเจดีย์มุมองค์อื่น มีความสูงประมาณ ๓ เมตร สภาพส่วนบนพังทลายคงเหลือหลักฐานเฉพาะส่วนฐาน เป็นฐานของเจดีย์ทรงกลมที่ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด ๖ x ๖ เซนติเมตร ฐานชั้นแรกมีความสูงจากพื้นดินหลังการขุดต่งประมาณ ๑ เมตร ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียงสี่เหลี่ยมลดหลั่นอีกสองชั้นรองรับชุดฐานเรียงกลมสามชั้น ถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานปัทม์รองรับบัวถลาและมาลัยเถา ส่วนบนถัอจากนี้พังทลายลงจนหมด เมื่อวิเคราะห์จากสัดส่วนทางสถาปัตยกรรมที่เหลืออยู่ สันนิษฐานว่าองค์ระฆังน่าจะเป็นทรงกรวย
- เจดีย์มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเจดีย์ประจำมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของปรางค์ประธาน ฐานที่เหลืออยู่มีความสูงประมาณ ๒ เมตร สภาพส่วนบนพังทลายและคงเหลือหลักฐานเฉพาะส่วนฐาน ซึ่งเป็นฐานของเจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด ๖ x ๖ เซนติเมตร ฐานชั้นแรกมีความสูงจากพื้นดินหลังการขุดแต่งประมาณ ๑ เมตร ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียงสี่เหลี่ยมลดหลั่นอีกสองชั้นรองรับฐานเขียงกลมสามชั้น ถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานปัทม์รองรับบัวถลาและมาลัยเถา ส่วนบนถัดจากนี้พังทลายจนหมด จากการเปรียบเทียบกับเจดีย์มุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีสภาพสมบูรณ์กว่าเจดีย์มุมองค์อื่น และวิเคราะห์จากสัดส่วนทางสถาปัตยกรรมที่เหลืออยู่ สันนิษฐานว่าองค์ระฆังของเจดีย์มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือน่าจะเป็นทรงกรวยเช่นเดียวกัน
-
(http://upic.me/i/9h/71q14.jpg) (http://upic.me/show/45996093)
จากการขุดตรวจสอบที่ฐานเจดีย์มุมทั้ง ๔ องค์ ลงไปที่ระดับความลึก ๐.๕๐ เมตร จากระดับพื้นหลังการขุดแต่งพบว่าเจดีย์มุมทั้ง ๔ องค์ ได้สร้างทับอยู่บนตำแหน่งของเจดีย์มุมที่มีอยู่แต่เดิม ซึ่งเป็นเจดีย์มุมสมัยแรกพบฐานย่อมุมไม้สิบสองลดหลั่นกันสามชั้น ที่มุมภายในต่อเชื่อมกับขอบของลานทักษิณของปรางค์ประธานที่สร้างในสมัยแรก ส่วนรูปทรงของเจดีย์มุมที่สร้างในสมัยแรกไม่ปรากฏจากหลักฐานการขุดแต่งซึ่งคงถูกรื้อแล้วสร้างทับบนตำแหน่งเดิม
โบราณวัตถุที่ขุดพบจากการขุดแต่งตามบริเวณฐานเจดีย์ดังกล่าว ได้แก่ กระเบื้องเชิงชายดินเผา ชิ้นส่วนกระเบื้องเชิงเคลือบ ลวดลายปูนปั้นประดับสถาปัตยกรรม ลวดลายกระเบื้องเคลือบ และชิ้นส่วนของพระพุทธรูปหินทราย
กำแพงแก้วและซุ้มประตูด้านตะวันตก ปัจจุบันยังเหลือซากกำแพงแก้วเขตพุทธาวาสทางด้านตะวันตก และซุ้มประตูด้านตะวันตก ซึ่งล้วนก่ออิฐสอปูนทั้งสิ้น ประตูแบบจัตุรมุข ซุ้มแบบหน้านาง ลานภายในเขตกำแพงแก้วยังมีร่องรอยของศิลาแลงที่ใช้ปูพื้น และมีซากพระพุทธรูปหินจำหลักกองอยู่ประปรายที่ข้างอุโบสถและเนินโบราณสถาน
วัดสมณโกฏฐารามได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
-
(http://upic.me/i/3e/p5pc7.jpg) (http://upic.me/show/45998535)
-
(http://upic.me/i/q2/yp061.jpg) (http://upic.me/show/45998537)
-
(http://upic.me/i/9g/9ho72.jpg) (http://upic.me/show/45998538)
-
(http://upic.me/i/mm/p5i54.jpg) (http://upic.me/show/45998540)
-
(http://upic.me/i/uj/6ofq5.jpg) (http://upic.me/show/45998541)
-
(http://upic.me/i/hf/w73a6.jpg) (http://upic.me/show/45998542)
-
(http://upic.me/i/sl/h6h12.jpg) (http://upic.me/show/46119468)
-
(http://upic.me/i/rk/m29d1.jpg) (http://upic.me/show/46119469)
-
(http://upic.me/i/fc/y8102.jpg) (http://upic.me/show/46119470)
-
(http://upic.me/i/48/j5gu3.jpg) (http://upic.me/show/46119471)
-
(http://upic.me/i/7n/1jsd4.jpg) (http://upic.me/show/46119472)
-
(http://upic.me/i/qw/gc3y5.jpg) (http://upic.me/show/46119473)
-
(http://upic.me/i/y1/7e7r6.jpg) (http://upic.me/show/46119475)
-
(http://upic.me/i/rv/3nvm7.jpg) (http://upic.me/show/46119476)
-
(http://upic.me/i/33/kije8.jpg) (http://upic.me/show/46119477)
-
(http://upic.me/i/fw/kupu9.jpg) (http://upic.me/show/46119479)
-
(http://upic.me/i/er/yjw10.jpg) (http://upic.me/show/46119480)
-
(http://upic.me/i/71/u5d11.jpg) (http://upic.me/show/46119481)
-
(http://upic.me/i/48/j5gu3.jpg) (http://upic.me/show/46119471)
พระพิชิตมารโมฬี
-
(http://upic.me/i/yz/u4510.jpg) (http://upic.me/show/46357715)
-
(http://upic.me/i/3i/ln221.jpg) (http://upic.me/show/46357716)
-
(http://upic.me/i/dh/7du42.jpg) (http://upic.me/show/46357717)
-
(http://upic.me/i/dh/7du42.jpg) (http://upic.me/show/46357717)
-
(http://upic.me/i/ho/4o1h3.jpg) (http://upic.me/show/46357718)
-
(http://upic.me/i/ho/4o1h3.jpg) (http://upic.me/show/46357718)
-
(http://upic.me/i/nv/lyzm4.jpg) (http://upic.me/show/46357720)
-
(http://upic.me/i/0l/d8gm5.jpg) (http://upic.me/show/46357721)
-
(http://upic.me/i/v4/n19g6.jpg) (http://upic.me/show/46357722)
-
(http://upic.me/i/b5/8a5j7.jpg) (http://upic.me/show/46357723)
-
(http://upic.me/i/8k/fnuq8.jpg) (http://upic.me/show/46357724)
-
(http://upic.me/i/wp/27mp9.jpg) (http://upic.me/show/46357726)
-
(http://upic.me/i/nv/lyzm4.jpg) (http://upic.me/show/46357720)
-
(http://upic.me/i/yx/oyx14.jpg) (http://upic.me/show/46480469)
-
(http://upic.me/i/40/btgz1.jpg) (http://upic.me/show/46480470)
-
(http://upic.me/i/qt/eyue2.jpg) (http://upic.me/show/46480471)
-
(http://upic.me/i/um/3cw33.jpg) (http://upic.me/show/46480472)
-
(http://upic.me/i/07/c9dr4.jpg) (http://upic.me/show/46480473)
-
(http://upic.me/i/e5/r2of5.jpg) (http://upic.me/show/46480474)
-
(http://upic.me/i/qa/2v5t7.jpg) (http://upic.me/show/46480476)
-
(http://upic.me/i/64/wd9c8.jpg) (http://upic.me/show/46480477)
-
(http://upic.me/i/un/7ob59.jpg) (http://upic.me/show/46480478)
-
(http://upic.me/i/bb/g1b10.jpg) (http://upic.me/show/46480479)
-
(http://upic.me/i/7r/7c711.jpg) (http://upic.me/show/46480480)
-
(http://upic.me/i/cc/gma12.jpg) (http://upic.me/show/46480481)
-
(http://upic.me/i/ef/qri13.jpg) (http://upic.me/show/46480482)
-
(http://upic.me/i/9d/ak611.jpg) (http://upic.me/show/46551432)
-
(http://upic.me/i/sk/us610.jpg) (http://upic.me/show/46551442)
-
ตำหนักสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช
ณ วัดสมณโกฏฐาราม ตำบลไผ่ลิง
อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
-
(http://upic.me/i/kp/h76t1.jpg) (http://upic.me/show/46551433)
-
(http://upic.me/i/99/257w2.jpg) (http://upic.me/show/46551434)
-
(http://upic.me/i/hm/sled3.jpg) (http://upic.me/show/46551435)
-
(http://upic.me/i/iq/1khv4.jpg) (http://upic.me/show/46551436)
-
(http://upic.me/i/n7/nw6m5.jpg) (http://upic.me/show/46551437)
-
(http://upic.me/i/bq/e90x7.jpg) (http://upic.me/show/46551439)
-
(http://upic.me/i/5w/sq3n8.jpg) (http://upic.me/show/46551440)
-
(http://upic.me/i/1n/jsu79.jpg) (http://upic.me/show/46551441)
-
(http://upic.me/i/sk/us610.jpg) (http://upic.me/show/46551442)
-
ตำหนักสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช
ณ วัดสมณโกฏฐาราม ตำบลไผ่ลิง
อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
(http://upic.me/i/5w/sq3n8.jpg) (http://upic.me/show/46551440)
-
(http://upic.me/i/on/nj710.jpg) (http://upic.me/show/46622515)
-
(http://upic.me/i/sg/htxr1.jpg) (http://upic.me/show/46622521)
-
(http://upic.me/i/6e/r6pn2.jpg) (http://upic.me/show/46622525)
-
(http://upic.me/i/qf/ypu03.jpg) (http://upic.me/show/46622529)
-
(http://upic.me/i/xj/sfgi4.jpg) (http://upic.me/show/46622533)
-
(http://upic.me/i/r7/zo3a5.jpg) (http://upic.me/show/46622539)
-
(http://upic.me/i/cd/i9y16.jpg) (http://upic.me/show/46622543)
-
(http://upic.me/i/qy/5w298.jpg) (http://upic.me/show/46622546)
-
(http://upic.me/i/mg/sg1q9.jpg) (http://upic.me/show/46622550)
-
(http://upic.me/i/31/f6ks9.jpg) (http://upic.me/show/46712292)
-
(http://upic.me/i/gs/7f7m1.jpg) (http://upic.me/show/46712293)
-
(http://upic.me/i/sn/2jp82.jpg) (http://upic.me/show/46712294)
-
(http://upic.me/i/y8/f0533.jpg) (http://upic.me/show/46712295)
-
(http://upic.me/i/21/qwod4.jpg) (http://upic.me/show/46712296)
-
(http://upic.me/i/61/xuif5.jpg) (http://upic.me/show/46712297)
-
(http://upic.me/i/2s/yiz16.jpg) (http://upic.me/show/46712298)
-
(http://upic.me/i/bo/t6o67.jpg) (http://upic.me/show/46712299)
-
(http://upic.me/i/6s/ejkc8.jpg) (http://upic.me/show/46712300)
-
(http://upic.me/i/lm/u0501.jpg) (http://upic.me/show/46751539)
-
(http://upic.me/i/6z/36ck2.jpg) (http://upic.me/show/46751540)
-
(http://upic.me/i/pp/t4pt3.jpg) (http://upic.me/show/46751541)
-
(http://upic.me/i/sa/ig1r4.jpg) (http://upic.me/show/46751542)
-
(http://upic.me/i/q0/sz9z5.jpg) (http://upic.me/show/46751543)
-
(http://upic.me/i/gw/1ckd6.jpg) (http://upic.me/show/46834907)
-
(http://upic.me/i/ap/zsi31.jpg) (http://upic.me/show/46834908)
-
(http://upic.me/i/kh/69gl2.jpg) (http://upic.me/show/46834909)
-
(http://upic.me/i/jc/kof13.jpg) (http://upic.me/show/46834910)
-
(http://upic.me/i/pf/58mh4.jpg) (http://upic.me/show/46834911)
-
(http://upic.me/i/7k/eg9q5.jpg) (http://upic.me/show/46834912)
-
(http://upic.me/i/en/l2qr7.jpg) (http://upic.me/show/46905268)
-
(http://upic.me/i/k8/zvyb1.jpg) (http://upic.me/show/46905269)
-
(http://upic.me/i/x5/vfm82.jpg) (http://upic.me/show/46905270)
-
(http://upic.me/i/d6/3la63.jpg) (http://upic.me/show/46905271)
-
(http://upic.me/i/rb/gek24.jpg) (http://upic.me/show/46905272)
-
(http://upic.me/i/fe/vhfv5.jpg) (http://upic.me/show/46905273)
-
(http://upic.me/i/d4/gfa46.jpg) (http://upic.me/show/46905274)
-
(http://upic.me/i/o4/wxio7.jpg) (http://upic.me/show/46920990)
-
(http://upic.me/i/2v/ko0w1.jpg) (http://upic.me/show/46920992)
-
(http://upic.me/i/x2/4r8u2.jpg) (http://upic.me/show/46920993)
-
(http://upic.me/i/rq/1p693.jpg) (http://upic.me/show/46920998)
-
(http://upic.me/i/o3/pr9c5.jpg) (http://upic.me/show/46921002)
-
(http://upic.me/i/9x/6k066.jpg) (http://upic.me/show/46921004)
-
(http://upic.me/i/qq/pbj86.jpg) (http://upic.me/show/46986484)
-
(http://upic.me/i/v6/ycs71.jpg) (http://upic.me/show/46986489)
-
(http://upic.me/i/v6/ycs71.jpg) (http://upic.me/show/46986489)
-
(http://upic.me/i/sm/e4xg2.jpg) (http://upic.me/show/46986499)
-
(http://upic.me/i/ty/x1sz3.jpg) (http://upic.me/show/46986504)
-
(http://upic.me/i/ja/arjw4.jpg) (http://upic.me/show/46986507)
-
(http://upic.me/i/if/jg045.jpg) (http://upic.me/show/46986515)
-
(http://upic.me/i/tr/dsc_9563_resize.jpg) (http://upic.me/show/47098918)
-
(http://upic.me/i/tq/dsc_9555_resize.jpg) (http://upic.me/show/47098919)
-
(http://upic.me/i/g1/dsc_9557_resize.jpg) (http://upic.me/show/47098920)
-
(http://upic.me/i/mq/dsc_9558_resize.jpg) (http://upic.me/show/47098921)
-
(http://upic.me/i/f2/dsc_9559_resize.jpg) (http://upic.me/show/47098922)
-
(http://upic.me/i/gn/0dsc_9560_resize.jpg) (http://upic.me/show/47098923)
-
(http://upic.me/i/iu/dsc_9561_resize.jpg) (http://upic.me/show/47098924)
-
(http://upic.me/i/ew/dsc_9562_resize.jpg) (http://upic.me/show/47098925)
-
(http://upic.me/i/on/nj710.jpg) (http://upic.me/show/46622515)
วัดสมณโกฏฐาราม ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา