สถานที่ท่องเที่ยวและคลังแห่งการเรียนรู้ทางพุทธศาสนา > วัดป่าวิเวกธรรมหรือวัดป่าเหล่างา ถนนศรีจันทร์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

พระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก) วัดป่าวิเวกธรรม หรือ วัดป่าเหล่างา ถนนศรีจันทร์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

<< < (2/201) > >>

HS4MM:



โดยปกติทั่วไปหลังจากออกจากที่ภาวนาแล้วท่านจะเปิดโอกาสให้พวกเราถามปัญหาในการปฏิบัติ หรือรายงานผลการนั่ง บางคนขี้อายไม่กล้าถามไม่กล้ารายงาน ท่านก็จะชี้ถามตรงตัวไปเลย คนที่ไม่มีอะไรจะรายงานหลวงพ่อก็ไม่เคยถาม ถ้าท่านถามคนไหนแสดงว่าคนนั้นเริ่มจะนั่งภาวนาได้ผล และคนนั้นก็จะมีคำตอบให้ท่านได้ขยายความให้ความรู้ผู้อื่นต่อไปอีก

ในการสอนภาวนาของท่านนอกจากจะให้นั่งไปด้วยฟังการเทศน์กำกับไปด้วย ซึ่งต่างจากครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ที่จะให้นั่งเองหลังฟังเทศน์แล้ว แนวทางการตอบปัญหาแก้ไขการปฏิบัติภาวนาก็แตกต่างกันหลายประการ ตัวอย่างเช่น เรื่องนิมิต ใครนั่งภาวนาได้นิมิตอะไร ท่านก็จะไม่ชี้ผิด ท่านบอกว่า เหมือนคนนอนหลับ แล้วฝัน ก็เขาฝันเห็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วเราจะไปว่าเขาฝันไม่จริงได้อย่างไร นิมิตจากการภาวนาของคนแต่ละคนก็จริงสำหรับบุคลนั้นเหมือนกัน เวลาพวกเรานิมิตเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ยินเสียงต่าง ๆ ได้กลิ่นต่าง ๆ ท่านก็จะบอกว่า นั่น! ดีแล้ว! ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวตัดนิมิต กลัวแต่ว่ามันจะไม่มีมาให้ติด ซึ่งก็เป็นอย่างที่ท่านว่า เพราะนานเข้าที่นิมิตมันก็ค่อย ๆ หมดของมันไปเอง พร้อมกับจิตใจที่พัฒนาให้สงบมั่นคงเป็นสมาธิลึกไปตามลำดับ

ในเรื่องของการพิจารณา หรือการวิปัสสนา ก็เช่นกัน ท่านไม่ใช้หลักการวิปัสสนาก่อนที่จะให้จิตมีความสงบเต็มที่ ท่านจะฝึกให้พวกเราทำความสงบให้เกิดความคล่องตัว เกิดความชำนิชำนาญในการเข้าการออกเพื่อเป็นฐานของวิปัสสนา เมื่อลูกศิษย์คนใดเดินจิตให้เกิดความสงบจนชำนาญในการรู้ การเห็นแล้ว หากยังชื่นชมสุขสมอยู่กับความสงบนานจนเกินไปท่านก็จะเตือนให้พาจิตทำงาน แต่แนววิปัสสนาที่ท่านสอน ท่านไม่ให้พิจารณาไปตามกระแสธรรมที่เกิดจากการอ่านหรือการฟัง แต่ท่านให้ค้นไปในจิต หากิเลส อาสวะที่หมักดองอยู่และชำระสะสางตามแต่ละคนไป โดยใช้ปัญญาในขั้นสูง ซึ่งถ้าจิตยังไม่มั่นคงแล้วก็ไม่อาจทำได้ง่าย ๆ ถ้าฝืนทำไปก็อาจเป็นผลเสียได้

ในการอบรมภาวนาสำหรับฆราวาส ท่านจะเน้นให้ดำเนินความสงบเพื่อความสุขสบายในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน บางคนปวดศีรษะเนื่องจากความเครียด หรือไมเกรน บางคนวุ่นวายกับปัญหาเศรษฐกิจ บางคนวุ่นวายกับปัญหาส่วนตัว บางคนประสบปัญหาในการทำงาน บางคนถึงขนาดสติไม่ค่อยจะดี เมื่อมารับการอบรมภาวนาจากท่านปัญหาต่าง ๆ แม้ยังคงอยู่ แต่ด้วยจิตที่ได้รับความสุขสงบเข้าไปแทนที่ ท่านเหล่านั้นก็มีความพร้อมในการต่อสู้ และรับกับสภาพปัญหาได้ ศีรษะที่เคยปวด หนักทึบก็โล่งไปหมด และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น วัดป่ากู่ทองเป็นวัดเก่าโดยมีซากเจดีย์หรือกู่ทองซึ่งกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและอยู่ไม่ไกลจากบ้านบัวบาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลวงพ่อท่าน การก่อสร้างวิหารนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๓๐ ล้านบาท ขณะนี้สำเร็จไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ขณะที่วิหารวัดกู่ทองยังสร้างไม่เสร็จ ปีที่แล้วผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดขอเมตตาหลวงพ่อให้บริจาคเครื่องฟอกไต (ไตเทียม) พร้อมอุปกรณ์มูลค่าล้านบาทเศษ ท่านก็มีเมตตาให้บอกบุญไปยังเหล่าลูกศิษย์จัดผ้าป่าเครื่องล้างไตจนรวบรวมปัจจัยได้เพียงพอ และยังได้ตั้งกองทุนจัดซื้อน้ำยาสำหรับคนไข้อนาถาอีกด้วย

เท่ากับการรวบรวมปัจจัยสร้างวิหารวัดกู่ทองต้องชะงักไป ๑ ปี ลูกศิษย์บางคนเริ่มท้อแท้และสับสนโดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา เขาเห็นว่าน่าจะสร้างวิหารวัดกู่ทองให้เสร็จก่อนจึงดำเนินการการอื่น บางท่านรู้สึกคล้อยตามการวิจารณ์เหล่านั้นและรู้สึกเสียกำลังใจ แต่มานึกถึงคำกล่าวที่ พระเวสสันดรทรงสอนพระกัณหา-ชาลี ซึ่งหลวงพ่อท่านยกมาพูดแล้วจึงเกิดความเข้าใจว่า นี่ท่านกำลังให้พวกเราสร้างสำเภาทองเพื่อเดินทางต่างคนต่างเป็นสำเภาทอง และเป็นผู้นั่งของกันและกัน ช่วยกันสร้างช่วยกันพายไปสู่จุดหมายคือแดนอมตมหานครนฤพาน พอสร้างสำเภาทองในกรณีสร้างวิหารวัดกู่ทองนานเข้าพวกเราเริ่มยึดติดว่าเป็นสำเภาของเราก็เลยพาลจะยกสำเภาทองขึ้นแบกใส่ศรีษะเดินไป ท่านเลยให้เราหยุดลำนี้ไปก่อน แล้วไปเริ่มลำอื่นเพื่อให้คลายการยึดติดพาหนะในการเดินทาง เพื่อไม่ให้พวกเราลืมไปว่านี้เรากำลังสร้างทานบารมีอยู่เป็นการเสียสละมิใช่พยายามสะสมเงินทองข้าวของแข่งกัน แม้ว่าสิ่งที่สร้างขึ้นมาจะเป็นประโยชน์ในทางโลกก็ดี ในทางการสืบทอดศาสนาก็ดี แต่นั่นก็ยังเป็นเพียงเรื่องภายนอกซึ่งไม่อาจช่วยให้พ้นไปจากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากต้องบำเพ็ญภาวนาบารมีต่อไปเท่านั้น

เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้วการร่วมแรงร่วมใจและร่วมปัจจัยถวายท่านเพื่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ จึงไม่ได้มุ่งที่ความสำเร็จในการก่อสร้างถาวรวัตถุอีกต่อไป หากแต่มุ่งสะสมทานบารมี เพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า ท่านบอกว่าเหมือนปล่อยจรวดต้องมีเชื้อเพลิงไว้ให้พอและในขณะเดียวกันก็ยังได้สะสางการยึดมั่นถือมั่นไปในตัวด้วย

ที่วัดป่าวิเวกธรรม ท่านก็ยังคงอบรมภาวนาให้แก่พระเณร และบุคคลทั่วไปทุกค่ำคืน ตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึง ๓ ทุ่ม และสนทนาตอบปัญหาจนถึงสี่ทุ่มเศษ กุฎิของท่านสร้างให้มีห้องโถงสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ปัจจุบันแต่ละคืนจะมีคนมานั่งเต็มจนล้น ผิดกับตอนที่ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ ใหม่ ๆ เมื่อ ๒ ปีก่อน ทุกวันที่ข้าพเจ้าไปฝึกภาวนาจะต้องคอยกังวลว่าวันนี้จะมีเพื่อนไหมหนอ อย่างมากก็ไม่เกิน ๑๐ คน ลูกศิษย์ของท่านมีความหลากหลาย ตั้งแต่ข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจ นักการธนาคาร อาจารย์มหาวิทยาลัย คนทำงานหาเช้ากินค่ำ และคนไม่มีงานทำ มีอายุตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ถึง ๗๐ ปี แต่หลวงพ่อให้ความสนใจลูกศิษย์เสมอกัน ใครภาวนาได้ดี และท่านสามารถช่วยให้ดียิ่งขึ้นได้ ท่านก็จะให้ความสนใจเป็นพิเศษและในห้องภาวนา พวกเราไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ มีแต่ผู้ที่ภาวนาเก่ง จะได้รับการยกย่องชมเชย สนใจจากผู้อื่นมากกว่า คนที่ปวดขา เจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีปัญหาบางประการ หลวงพ่อก็จะให้คนที่ภาวนาได้และใช้พลังจิตได้ดีช่วยเหลือกัน แต่พวกเราก็หลีกเลี่ยงที่จะไปแสดงภายนอกสถานที่ที่เรารวมตัวกัน ท่านสอนให้พวกเรารู้จักใช้พลังจิตในการช่วยเหลือผู้อื่นได้ตามกาลโอกาสอันเหมาะสม บางคนอาจบอกว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พวกเราแต่ละคนโดยเฉพาะพวกที่มีตำแหน่งหน้าที่การงาน และสถานภาพทางสังคมในระดับสูงก็จะอายไม่อยากให้ใครรับทราบ และเกรงว่าจะถูกรบกวนมาก ก็เลยไม่ค่อยยอมใช้ประโยชน์จากพลังจิต แต่ข้าพเจ้ามาไตร่ตรองดูจากการปฏิบัติของตนเอง ที่มีระยะหนึ่งซึ่งการภาวนาเริ่มอยู่ตัว และจิตสามารถใช้งานได้แล้วเมื่อนำมาใช้ในการดูพลังของพระเครื่องก็ดี รักษาโรคก็ดี การกำหนดรู้ในสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบัน อดีต และอนาคตก็ดี ก็เหมือนกับเป็นการฝึกฝนให้จิตมีความชำนาญในการเข้าการออก เพราะสภาวะที่ใช้งานจิตนั้นเป็นการกำหนดลงไปเลย ซึ่งยิ่งทำก็ยิ่งชำนาญ พอมาเดินจิตทางวิปัสสนาจึงเห็นคุณประโยชน์ของการที่ท่านฝึกให้เรามีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ เพราะทำให้สามารถพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน และรวดเร็ว บางครั้งเมื่อรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ แม้ด้วยอาการปกติไม่ต้องหลับตาก็สามารถกำหนดจิตรู้ความเป็นมาเป็นไปของสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และช่วยแก้ไขได้ทันท่วงที

ที่กุฏิกีประยูรหงส์ วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ก็จะมีห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งหลวงพ่อใช้อบรมภาวนาในตอนเย็น แต่เวลาการอบรมที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขนไม่แน่นอนเพราะอุปสรรคด้านการจราจร บางวันคนก็จะมากจนล้นห้อง แต่บางวันก็มีไม่มีคนมากนัก ในขณะนั่งภาวนา บางครั้งท่านก็เทศน์กำกับแต่บางครั้งก็ให้นั่งไปเลย แต่ท่านไม่เคยทิ้งพวกเรา แม้กระทั่งอาพาธท่านก็จะเอนกายเฝ้าพวกเราอยู่บนเก้าอี้ยาว พวกเราก็จะนั่งภาวนากันไป

โดยปกติทั่วไปหลังจากออกจากที่ภาวนาแล้วท่านจะเปิดโอกาสให้พวกเราถามปัญหาในการปฏิบัติ หรือรายงานผลการนั่ง บางคนขี้อายไม่กล้าถามไม่กล้ารายงาน ท่านก็จะชี้ถามตรงตัวไปเลย คนที่ไม่มีอะไรจะรายงานหลวงพ่อก็ไม่เคยถาม ถ้าท่านถามคนไหนแสดงว่าคนนั้นเริ่มจะนั่งภาวนาได้ผล และคนนั้นก็จะมีคำตอบให้ท่านได้ขยายความให้ความรู้ผู้อื่นต่อไปอีก

ในการสอนภาวนาของท่านนอกจากจะให้นั่งไปด้วยฟังการเทศน์กำกับไปด้วย ซึ่งต่างจากครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ที่จะให้นั่งเองหลังฟังเทศน์แล้ว แนวทางการตอบปัญหาแก้ไขการปฏิบัติภาวนาก็แตกต่างกันหลายประการ ตัวอย่างเช่น เรื่องนิมิต ใครนั่งภาวนาได้นิมิตอะไร หลวงพ่อก็จะไม่ชี้ผิด ท่านบอกว่า เหมือนคนนอนหลับ แล้วฝัน ก็เขาฝันเห็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วเราจะไปว่าเขาฝันไม่จริงได้อย่างไร นิมิตจากการภาวนาของคนแต่ละคนก็จริงสำหรับบุคลนั้นเหมือนกัน เวลาพวกเรานิมิตเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ยินเสียงต่าง ๆ ได้กลิ่นต่าง ๆ ท่านก็จะบอกว่า นั่น! ดีแล้ว! ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวตัดนิมิต กลัวแต่ว่ามันจะไม่มีมาให้ติด ซึ่งก็เป็นอย่างที่ท่านว่า เพราะนานเข้าที่นิมิตมันก็ค่อย ๆ หมดของมันไปเอง พร้อมกับจิตใจที่พัฒนาให้สงบมั่นคงเป็นสมาธิลึกไปตามลำดับ

ในเรื่องของการพิจารณา หรือการวิปัสสนา ก็เช่นกัน ท่านไม่ใช้หลักการวิปัสสนาก่อนที่จะให้จิตมีความสงบเต็มที่ ท่านจะฝึกให้พวกเราทำความสงบให้เกิดความคล่องตัว เกิดความชำนิชำนาญในการเข้าการออกเพื่อเป็นฐานของวิปัสสนา เมื่อลูกศิษย์คนใดเดินจิตให้เกิดความสงบจนชำนาญในการรู้ การเห็นแล้ว หากยังชื่นชมสุขสมอยู่กับความสงบนานจนเกินไปท่านก็จะเตือนให้พาจิตทำงาน แต่แนววิปัสสนาที่ท่านสอน ท่านไม่ให้พิจารณาไปตามกระแสธรรมที่เกิดจากการอ่านหรือการฟัง แต่ท่านให้ค้นไปในจิต หากิเลส อาสวะที่หมักดองอยู่และชำระสะสางตามแต่ละคนไป โดยใช้ปัญญาในขั้นสูง ซึ่งถ้าจิตยังไม่มั่นคงแล้วก็ไม่อาจทำได้ง่าย ๆ ถ้าฝืนทำไปก็อาจเป็นผลเสียได้

ในการอบรมภาวนาสำหรับฆราวาส ท่านจะเน้นให้ดำเนินความสงบเพื่อความสุขสบายในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน บางคนปวดศีรษะเนื่องจากความเครียด หรือไมเกรน บางคนวุ่นวายกับปัญหาเศรษฐกิจ บางคนวุ่นวายกับปัญหาส่วนตัว บางคนประสบปัญหาในการทำงาน บางคนถึงขนาดสติไม่ค่อยจะดี เมื่อมารับการอบรมภาวนาจากท่านปัญหาต่าง ๆ แม้ยังคงอยู่ แต่ด้วยจิตที่ได้รับความสุขสงบเข้าไปแทนที่ ท่านเหล่านั้นก็มีความพร้อมในการต่อสู้ และรับกับสภาพปัญหาได้ ศีรษะที่เคยปวด หนักทึบก็โล่งไปหมด และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ท่านไม่เคยบังคับให้ถือศีล นุ่งขาวห่มขาว หรือควบคุมกริยาความประพฤติต่าง ๆ แต่เมื่อจิตสู่ความสงบแล้ว ท่านเหล่านั้นก็เห็นผลเสียของการดำรงตนนอกกรอบศีลธรรมประเพณี และค่อย ๆ ปรับปรุงตนเองไปทีละน้อย การตำหนิลงโทษผู้อื่นก็ค่อยลดน้อยลงไปเพราะท่านสอนให้ "โอปนยิโก" คือ น้อมเข้าหาตัว เมื่อเห็นกิเลส เห็นผิดของตนเอง เขาก็ค่อยปรับปรุงตนเองให้ถูกต้อง และเมื่อผู้อื่นทำผิดก็คิดได้ว่าเราก็เคยผิดเช่นนี้ ก็เลยให้อภัยกันไปได้ ศีลธรรม-เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เกิดขึ้นไปโดยอัตโนมัติ เป็นศีลแท้และธรรมแท้ที่เกิดขึ้นในใจ

ท่านสอนให้พวกเราดำรงความสงบไปก่อน เพราะยังมีภาระในชีวิตประจำวัน มีภาระครอบครัว ท่านมักกล่าวทีเล่นทีจริงอยู่เสมอว่า อย่าให้สำเร็จเร็วนัก เดี๋ยวลูกเต้าก็จะร้องไห้ตามหากัน และท่านยังมุ่งให้พวกเราปฏิบัติอยู่ที่สำนักในใจ อย่าไปเที่ยวค้นหาสำนักตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ เพราะถ้าใจสงบไม่ได้แล้ว จะไปยังสถานที่วิเวกเพียงใดก็ไม่เกิดประโยชน์ หนำซ้ำยังจะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เพราะพ่อบ้านแม่บ้านเอาแต่ไปตะลอนตามสำนักต่าง ๆ และทิ้งลูกหรือสามีภรรยาให้มีปัญหาอยู่ที่บ้าน และพอกลับถึงบ้านก็เกิดความรู้สึกว่าดีกว่าผู้อื่นเพราะไปปฏิบัติธรรมมา เลยเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน    ท่านมักกล่าวทีเล่นทีจริงอยู่เสมอว่า อย่าให้สำเร็จเร็วนัก เดี๋ยวลูกเต้าก็จะร้องไห้ตามหากัน และท่านยังมุ่งให้พวกเราปฏิบัติอยู่ที่สำนักในใจ... เพราะถ้าใจสงบไม่ได้แล้ว จะไปยังสถานที่วิเวกเพียงใดก็ไม่เกิดประโยชน์ หนำซ้ำยังจะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เพราะพ่อบ้านแม่บ้านเอาแต่ไปตะลอนตามสำนักต่าง ๆ และทิ้งลูกหรือสามีภรรยาให้มีปัญหาอยู่ที่บ้าน 

ดังนั้น การอบรมภาวนาฆราวาสโดยทั่วไปท่านจึงให้มาฝึกกับท่านวันละประมาณ ๑ ชั่วโมง เพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อเข้าใจแล้วก็นำเทปกลับไปปฏิบัติเองต่อที่บ้าน และนาน ๆ ครั้งก็โทรศัพท์สอบถาม หรือเดินทางมาสอบถามรายงานความก้าวหน้าด้วยตัวเอง ซึ่งท่านก็จะเมตตาแก้ไขให้ทุกรายไป นี่คือเหตุที่ท่านมีโทรศัพท์มือถือติดตัวและเปิดไว้เสมอ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติภาวนาหากแก้ไขไม่ได้ทันท่วงทีก็จะเกิดผลเสียหายได้ บางรายถึงกับเป็นบ้าไปก็มี แต่ลูกศิษย์ที่สอนทุกคนไม่เคยปรากฏว่ามีใครเป็นบ้าเพราะการภาวนา เพราะท่านจะสอนดักไว้หมดแล้วความกลัวจึงไม่มี ความสับสนก็ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว และเกิดความมั่นใจในการก้าวเดินต่อไปตามแต่ความพร้อมของแต่ละคน

ในการอบรมท่านไม่เคยชี้นำพวกเราในด้านความรู้ความเห็นต่าง ๆ ลูกศิษย์หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่าเวลาไปรายงานผลการภาวนากับท่านและก็เตรียมจะไปถามท่าน แต่ระหว่างที่ถูกท่านซักถาม ลูกศิษย์เหล่านั้นก็สรุปคำตอบได้เองโดยไม่ต้องถามท่านอีก ท่านบอกว่า ธรรมะเป็น สันทิฎฐิโก คือ ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมรู้เองเห็นเอง และเป็น ปัจจัตตัง คือ รู้เฉพาะตน พอนานเข้า พวกเราก็พึ่งตนเองได้ แก้ไขปัญหาให้ตนเองได้ สมดังพุทธภาษิตที่ว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ฉะนั้น พวกเราจึงยึดถือพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกเป็นสรณะ ยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนเป็นสรณะและยึดถือพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าและพระธรรมก็คือ เรานั่นเอง นี่เป็นแนวทางที่หลวงพ่อท่านอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ดังนั้น ลูกศิษย์ประเภท "ลูกในไส้" ของท่านจึงมีลักษณะสงบ และมั่นใจในตนเอง เป็นส่วนใหญ่ ส่วนลูกศิษย์ประเภท "หลายสำนัก" นั้น ข้าพเจ้าไม่ขอสรุปรวมในที่นี้

ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แม้กระทั่งต่างประเทศ ท่านก็เคยไปอบรมภาวนาหลายครั้ง เช่น ที่ประเทศออสเตรเลีย ท่านได้เดินทางไปอบรมภาวนาให้แก่ชาวออสเตรเลีย จนพบความสงบหลายคน ทั้งที่หลวงพ่อพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ท่านบอกว่า ท่านใช้ภาษา "เยอรมัน" คือ ภาษาใครภาษามัน หรือก็คือภาษาจิต ซึ่งเป็นภาษาเดียวกันทั่วทั้งโลก

ท่านเคยเดินทางไปอินเดียหลายครั้ง ท่านบอกว่า ท่านได้ธรรมะ ที่นั่น ท่านมักจะเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังเกี่ยวกับประโยชน์ของการเดินทางไปประเภทอินเดีย ท่านไม่ได้ไปดูตึกรามบ้านช่องเหมือนคนอื่นเขา หากแต่ไปดูความทุกข์แบบที่องค์พระบรมศาสดาเคยพบเห็นในครั้งพุทธกาล รวมทั้งปูชนียสถานที่เป็นเครื่องยืนยันความมีอยู่จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนี้ท่านยังชี้ให้พวกเราเห็นด้านดีของความเป็นอยู่ของชาวอินเดียที่พวกเราไม่ค่อยมองเห็นกัน เช่น ท่านบอกว่า เวลาชาวบ้านที่นั่นมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันก็จะได้แต่ทะเลาวิวาท แต่ไม่ชกต่อยทำร้ายร่างกายกันบ่อยนัก ทำให้สังคมที่มีคนจำนวนมากอยู่กันไปได้ อีกทั้งการกินอยู่ของชาวอินเดียวก็ไม่ฟุ่มเฟือยมากมาย โดยดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียงตามอัตภาพ

กลางปีที่แล้วท่านได้เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๙-๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๒ โดยมีกิจนิมนต์ที่วัดเคลเลอร์ หรือวัดพุทธรัตนาราม รัฐเทกซัส เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจหลัก คือ การฝังลูกนิมิต โบสถ์ที่สร้างเสร็จใหม่ของวัดนั้นแล้ว ท่านใช้เวลาว่างที่เหลืออบรมภาวนาให้ชาวไทยและชาวลาวที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น และก็มีคนได้ความสงบหลายคน ต่อจากรัฐเทกซัสท่านได้เดินทางมายังรัฐลอสแองเจลิส และพำนักที่วัดป่าภูริทัตต์ ๓-๔ วัน และก็ได้พาให้ญาติโยมคนไทยฝึกภาวนาได้รับความสงบในเบื้องต้นหลายคน หลังจากกลับถึงประเทศไทยท่านได้เมตตาให้ส่งเทปและหนังสือไปให้ลูกศิษย์ที่อเมริกาอยู่เสมอ และหลายท่านภาวนาได้ดีขึ้นตามลำดับ และได้โทรศัพท์มารายงานความก้าวหน้าและสอบถามปัญหาในการปฏิบัติโดยตลอด และในปีนี้ คณะศิษย์ที่อเมริกา ก็เตรียมนิมนต์ท่านไปอบรมภาวนาตามรัฐต่าง ๆ ๔-๕ แห่ง ซึ่งคาดว่า ในปีนี้ท่านคงจะเดินทางไปพำนักที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหลายเดือนเพื่ออบรมสั่งสอนพุทธบริษัทที่นั้น

ในด้านธาตุขันธุ์ของท่านโดยทั่วไป ท่านมีสุขภาพแข็งแรง ท่านเคยอาพาธหนักเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ๒-๓ ครั้ง ตั้งแต่สมัยที่ท่านอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุ ท่านเคยเป็นวัณโรคปอด และรับการรักษาจนหายดีแล้ว ท่านจึงเลิกสูบบุหรี่ และลองฉันหมากแทน ปีที่แล้วช่วงก่อนเดินทางไปประเทศสหรัฐ ท่านก็หยุดฉันหมากไปหลายเดือน ทำให้ลูกศิษย์ที่เคยเจียนหมากจีบพลูถวายเหงาไปตามกัน ช่วงปลายปีพุทธศักราช ๒๕๔๑ ท่านมีอาการเวียนศีรษะและปวดศีรษะอยู่บ่อย ๆ พวกเรานิมนต์ท่านเข้ารับการตรวจร่างกาย และพบว่าความดันโลหิตสูง ต่อมาก็พบอีกว่า คลอเรสเตอรอลค่อนข้างสูง และบางครั้งก็มีน้ำตาลในเลือดสูง แพทย์ขอให้ท่านงดอาหารรสเค็ม อาหารจากเนื้อสัตว์ งดน้ำหวาน แต่ในทางปฏิบัติ ก็ยากที่จะทำเช่นนั้นได้ เพราะท่านฉันอาหารที่รับบิณฑบาตร และมีผู้ถวายมาซึ่งไม่อาจเลือกได้ ลูกศิษย์ ญาติโยมบางคนนำมาถวายแล้วยังนั่งจ้องดูอีกว่าท่านฉันหรือเปล่า ท่านก็ฉันให้ด้วยความเมตตา ตอนเย็นแต่ละวันจะมีน้ำหวาน น้ำอัดลมกระป๋องวางเต็มโต๊ะหน้าที่นั่งของท่าน ท่านก็ต้องจิบให้คนละเล็กละน้อย จึงเป็นการยากที่จะให้ท่านควบคุมอาหาร

ด้วยวัย ๗๒ ปี การที่ท่านนอนคืนละ ๒-๓ ชั่วโมง ทำให้ช่วงเวลากลางวันท่านต้องการการพักผ่อนเอนกายบ้าง บางวันท่านเดินทางจากกุฎิด้วยกิจนิมนต์ตั้งแต่ ๖ โมงเช้า และไปนั่งอยู่กับที่เพื่อเจริญพุทธมนต์และภัตตกิจรวมประมาณ ๕ ชั่วโมง พอกลับมาถึงกุฎิตอนบ่ายก็มีญาติโยม ลูกศิษย์ มารอท่าน ซึ่งท่านจะไม่เคยไล่ ท่านจะพูดคุยตอบคำถามไปจนเป็นที่พอใจ บางคนพูดคุยซักถามท่านอยู่ ๒-๓ ชั่วโมง พอถึงตอนเย็นลูกศิษย์ภาวนาก็ทะยอยกันมา ท่านก็ไม่มีเวลาพักผ่อนเอนกายเลยตลอดทั้งวัน กว่าจะได้หลับและหลับได้ก็ตี ๑ ตี ๒ เป็นเช่นนี้แทบทุกวันโดยท่านยังไม่ยอมให้จำกัดเวลาในการเข้าพบ พวกเราก็ได้แต่เฝ้าดูด้วยความเป็นห่วงธาตุขันธ์ของท่าน และอำนวยความสะดวกในการดำรงขันธ์และการปฏิบัติศาสนกิจของท่านตามที่จะสามารถทำได้ เพื่อจะให้ท่านได้อบรมสั่งสอนบุคคลในการภาวนาไปได้มากที่สุด แม้พวกเราจะทราบดีก็ตาม สักวันหนึ่งหลวงพ่อก็จะต้องจากพวกเราไป และท่านก็ได้ปรารภเตือนในเรื่องนี้อยู่เสมอ เพื่อไม่ให้พวกเราตั้งในความประมาท

ท่านจะให้ความสนใจข่าวสารบ้านเมืองมาก ท่านรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนักการเมือง และบุคคลสำคัญต่างๆ และท่านก็นำหัวข้อข่าวที่เป็นที่สนใจของสังคมในขณะนั้นมาเป็นข้อต้นในการแสดงธรรมได้อย่างเหมาะเจาะ ที่วัดที่ขอนแก่นหลวงพ่อจะดูข่าวทางโทรทัศน์ และที่กุฎิวัดพระศรีมหาธาตุท่านจะอ่านหนังสือพิมพ์ นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ท่านมีความเข้าใจกิเลสของคนได้อย่างลึกซึ้ง และแก้ปัญหาให้ญาติโยมที่เข้ามาปรึกษาท่านได้เสมอ

ท่านสอนว่าอย่าตำหนิกิเลส เพราะมีกิเลสเราจึงได้เกิดเป็นคน อยากทำบุญ อยากได้บุญ อยากรักษาศีล อยากภาวนา อยากพ้นทุกข์ อย่าคิดว่าจะทำลายกิเลสได้ เพราะกิเลสเป็นของประจำโลก ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่ทำลายกิเลส แต่ท่านใช้วิธีหนีหนีโลก หนีกิเลส ดังนั้น คนที่มีกิเลสหนา คนที่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย คนที่ไม่มีความรู้ในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีสิทธิ์เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้อย่างเต็มที่ ท่านว่าถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่ต้องมาหาท่าน ถ้าไม่วุ่นวาย ไม่ฟุ้งซ่านก็ไม่ต้องมาหาท่าน ถ้ารู้ดีแล้วก็ไม่ต้องมาปฏิบัติให้เสียเวลาอีก นี่คือหลวงพ่อ ผู้ซึ่งไม่เคยปิดกั้นโอกาสในการปฏิบัติธรรมของผู้ใดเลย ท่านยกตัวอย่างพระสาวกในครั้งพุทธกาลว่ามีใครบ้างที่ดีมาก่อนที่จะมาพบพระพุทธเจ้า ส่วนใหญ่ก็มากับกิเลส มากับความวุ่นวาย มากับความรำคาญ มากับโมหะจริต ทั้งสิ้น พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ก็ได้แก่ซึมซับเอาแนวทางของหลวงพ่อไปใช้ในชีวิตประจำวัน คือ ให้โอกาสผู้อื่น และเชื่อว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงจากไม่ดีเป็นดีได้

ท่านยังสอนให้พวกเรามีเมตตาสงสาร สงเคราะห์ผู้ที่ยากไร้ เวลาท่านรับบิณฑบาตอาหารแห้งและเครื่องอุปโภคบริโภค นอกจากท่านจะให้นำไปทานตามสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ แล้ว ท่านยังให้นำไปสงเคราะห์นักโทษที่เรือนจำอีกด้วย เวลาแม่ค้าขายของไม่ได้ ท่านก็จะเมตตาให้ช่วยซื้อจำนวนมาก เวลานั่งรถไปตามท้องถนนท่านก็จะชี้ให้เห็นความทุกข์ยากของตำรวจซึ่งต้องยืนตากแดดตากฝน และคอยเตือนไม่ให้พวกเราทำผิดกฎจราจร หรือทำผิดแล้วก็ให้ยอมรับผิดและรับการลงโทษเพื่อไม่ให้สร้างปัญหาหนักใจแก่ตำรวจ บางครั้งท่านก็จะแจกวัตถุมงคลให้ตำรวจเป็นกรณีพิเศษ แต่ละวันจะมีคนที่ไม่มีค่าโดยสารรถกลับบ้าน พ่อค้า แม่ขาย เข้ามาขอรับความเมตตาจากท่านจำนวนมาก ซึ่งท่านก็จะให้ความเมตตาอยู่เสมอ การได้อยู่รับใช้หลวงพ่อและได้เน้นความเมตตาของท่านทำให้พวกเราเริ่มมองเห็นและเข้าใจความทุกข์ยากลำบากของผู้อื่น และ "ติดดิน" โดยไม่รู้ตัว   การเป็นลูกศิษย์ของท่านสำหรับหลาย ๆ คนจึงเป็นการเปลี่ยนชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง...ยังทำให้เราสิ้นสงสัยในคำสรรเสริญองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "โย อิมัง โลกัง สะเทวกัง สะมาระกัง สะพรัมมะกัง สัสสะมะนะ พราหมณิงปะชัง สะเทวมนุสสัง สะยังอภิญญา สัจจิกัตวาปะเวเทสิ...ก็ในเมื่อแม้สงฆ์สาวกที่เกิดขึ้นตามหลังถึงเกือบสามพันปี เช่นหลวงปู่บุญเพ็ง กปปโก ก็ยังเจริญรอยตามพระองค์ท่านได้ไม่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

การเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สำหรับหลาย ๆ คนจึงเป็นการเปลี่ยนชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง ด้วยความยินยอมพร้อมใจ และโดยอัตโนมัติ ดังนั้นการได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ นอกจากจะทำให้พวกเราเข้าใจธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาที่ตรงแท้แน่นอนแล้ว ยังทำให้เราสิ้นสงสัยในคำสรรเสริญองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "โย อิมัง โลกัง สะเทวกัง สะมาระกัง สะพรัมมะกัง สัสสะมะนะ พราหมณิงปะชัง สะเทวมนุสสัง สะยังอภิญญา สัจจิกัตวาปะเวเทสิ ทรงสอนโลกนี้ พร้อมทั้งเทวดา มารพรหม และหมู่สัตว์ พร้อมสมณพราหมณ์ ให้รู้ตาม" ก็จะสงสัยได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแม้สงฆ์สาวกที่เกิดขึ้นตามหลังถึงเกือบสามพันปี เช่นหลวงปู่บุญเพ็ง กปปโก ก็ยังเจริญรอยตามพระองค์ท่านได้ไม่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

ประวัติหลวงปู่ ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.udon108.com/board/index.php?topic=77334.0

HS4MM:



เมื่อวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2555 เวลาประมาณ 13.30 น. ( เพราะช่วงเช้าไปนมัสการหลวงปู่ฮ็อ ฐิติโก วัดสวนม่อน ) ได้มีโอกาสได้ไปที่วัดป่าวิเวกธรรม กับ HS4DRY ตั้งใจที่จะไปนมัสการหลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก และไปบันทึกภาพนำมาลงเว็บไซต์ที่นี่ ให้คนที่ไม่มีโอกาสได้มา ได้เห็นรูปภาพบรรยากาศภายในบริเวณวัด ถึงความเงียบสงบ ร่มรื่น น่าเสียดายที่มาไม่ได้เจอหลวงปู่ สอบถามแม่ชีที่อยู่ภายในวัด แจ้งว่า หลวงปู่ท่านไปกรุงเทพฯ จะกลับมาประมาณวันที่ 26 มีนาคม 2555 ผมและ HS4DRY จึงได้แต่เก็บภาพภายในบริเวณวัดมาให้ได้ชมกัน


HS4MM:






HS4MM:







HS4MM:




นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version